๑.๑
ระบบบอกตำแหน่ง
ปัจจุบันมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้บอกตำแหน่งบนพื้นโลกได้
คือ จีพีเอส (Global Positioning
System: GPS) ทำงานร่วมกับดาวเทียม
ในระดับความสูง 20,200 กิโลเมตร
สามารถบอกตำแหน่งได้ทุกแห่งบนโลก
โดยความแม่นยำขึ้นอยู่กับจำนวนดาวเทียมที่จีพีเอสทำงานร่วมและสภาพอากาศ
ปัจจุบันได้นำระบบนี้มาใช้งานด้านต่าง
ๆ มากมาย เช่น การหาตำแหน่งบนพื้นโลก การนำมาสร้างเป็นระบบนำทาง (Navigator system) การใช้ติดตามบุคคลหรือติดตามยานพาหนะ
นอกจากนี้ระบบจีพีเอสยังสามารถนำมาใช้อ้างอิงเพื่อปรับตั้งเวลาให้ถูกต้อง
โดยใช้เวลาจากดาวเทียมทุกดวงซึ่งมีเวลาที่ตรงกัน
จีพีเอสนิยมใช้ในรถยนต์เพื่อเป็นระบบนำทาง
โดยทำงานร่วมกับโปรแกรมแผนที่ที่บรรจุอยู่ในตัวเครื่อง
ปัจจุบันมีการนำระบบจีพีเอสไปติดตั้งในเครื่องพีดีเอ กล้องดิจิทัล
และโทรศัพท์เคลื่อนที่ การใช้งานจีพีเอสเพื่อระบุตำแหน่งบนพื้นโลกจำเป็นต้องติดต่อกับดาวเทียมอย่างน้อย
๓ ดวง ในกรณีที่ต้องการทราบความสูงของตำแหน่งจากพื้นโลกด้วย
ต้องติดต่อกับดาวเทียมอย่างน้อย ๔ ดวง
๑.๒
อาร์เอฟไอดี
อาร์เอฟไอดี (Radio Frequency Identification: RFID) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นวิทยุในการอ่านข้อมูล
ใช้ในระบบป้องกันการขโมยสินค้า ระบบอ่านบัตรประจำตัวพนักงาน ระบบเก็บค่าผ่านทาง
โครงสร้างของระบบประกอบด้วย ๒ ส่วนย่อย คือ ทรานสปอนเดอร์ (Transponder) และเครื่องอ่าน (Reader)
ประโยชน์ของอาร์เอฟไอดี
๑)
สามารถอ่านทรานสปอนเดอร์พร้อมกันได้หลายชิ้นและใช้เวลารวดเร็ว
๒)
ทนทานต่อความเปียนชื้น
๓)
มีความปลอดภัยสูง ยากต่อการปลอมแปลงและเลียนแบบ
๔)
ป้องกันการอ่านข้อมูลซ้ำของวัตถุชิ้นเดียวกัน
๕)
สามารถอ่านข้อมูลได้โดยไม่จำเป็นต้องมองเห็นตัวทรานสปอนเดอร์
๑.๓
เทคโนโลยีบรอดแบนด์ไร้สาย
ปัจจุบันระบบไร้สายได้รับความนิยมอย่างมาก
เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบจีเอสเอ็ม (Global
System for Mobile Communication: GSM) เทคโนโลยีที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีตั้งแต่ยุคที่
๒ (2G) และยุคที่ ๓ (3G)
2G มีการบีบอัดสัญญาณเสียงในรูปแบบดิจิทัล
การรับ-ส่งข้อมูลยังไม่มีประสิทธิภาพมากนัก
2.5G นำระบบจีพีอาร์เอส (General Packet Radio Service: GPRS) มาใช้ร่วมกับระบบจีเอสเอ็ม
ทำให้สามารถรับ ส่งข้อมูและเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้
เทคโนโลยีจีพีอาร์เอสนี้สามารถสื่อสารข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงสุด
171.2 กิโลบิตต่อวินาที
ต่อมาได้มีการปรับปรุงระบบจีพีอาร์เอสให้มีความเร็วในการสื่อสารสูงขึ้นถึง 384 กิโลบิตต่อวินาที
เทคโนโลยีนี้ชื่อว่า เอจ (Enhanced Data
Rates for Global Evolution: EDGE) ซึ่งจัดอยู่ในยุค
2.75G
3G ทำงานในระบบซีดีเอ็มเอ (Code Division Multiple Access: CDMA) อัตราเร็วในการรับส่งข้อมูล (transmission rate) ไม่ต่ำกว่า 2
เมกะบิตต่อวินาที
สามารถใช้งานมัลติมีเดียความเร็วสูงได้อย่างต่อเนื่อง เช่น
การรับชมวีดิทัศน์จากอินเทอร์เน็ต การสนทนาแบบเห็นภาพคู่สนทนา
จึงมีการพัฒนาบริการต่าง ๆ ขึ้นอีกมากมาย เช่น
การให้บริการแบบมัลติมีเดียที่สามารถรับส่งข้อมูลขนาดใหญ่
การประชุมทางไกลผ่านหน้าจอของโทรศัพท์เคลื่อนที่
4G ทำให้การส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วสูงกว่า
3G มีการให้บริการที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
อัตราในการส่งข้อมูลไม่ต่ำกว่า 100 เมกะบิตต่อวินาที
๑.๔ การประมวลผลภาพ
การประมวลผลภาพ
(image processing) เป็นการนำภาพมาเปลี่ยนเป็นข้อมูลดิจิทัล
เช่น
– ระบบตรวจกระดาษคำตอบ
– ระบบตรวจจับใบหน้าในกล้องดิจิทัล
– ระบบอ่านบาร์โค้ด
– ระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวเพื่อการรักษาความปลอดภัย
๑.๕
การแสดงภาพ ๓ มิติ
เทคนิคการแสดงภาพ
๓ มิติ เป็นการนำภาพ ๒ มิติมาแสดงผล
โดยมีเทคนิคการแสดงภาพที่ทำให้ตาข้างซ้ายและตาข้างขวามองเห็นภาพของวัตถุเดียวกันในมุมมองที่แตกต่างกัน
ส่งผลให้สมองตีความเป็นภาพที่มีความลึก ตัวอย่างเทคนิคการแสดงภาพ ๓ มิติ มีดังนี้
– การแสดงภาพแบบแอนะกลิฟ (anaglyph) เป็นการฉายภาพสำหรับตาซ้ายและตาขวาที่มีโทนสีที่แตกต่างกันลงบนฉากรับภาพเดียวกัน
โทนสีที่ใช้มักจะเป็นสีแดงและน้ำเงิน
การมองด้วยตาเปล่าจะทำให้เห็นเป็นภาพซ้อนและเหลื่อมกันเล็กน้อย การมองภาพ ๓มิติ
ต้องใช้แว่นที่มีแผ่นกรองแสงด้านหน้าที่มีข้างหนึ่งเป็นสีแดงและอีกข้างหนึ่งเป็นสีน้ำเงิน
– การแสดงภาพแบบโพลาไรซ์
๓ มิติ (polarized 3-D) มีการทำงานคล้ายกับแอนะกลิฟ
โดยฉายภาพลงที่ฉากรับภาพเดียวกัน มุมมองของภาพที่แตกต่างกันแต่เปลี่ยนจากการใช้สี
ไปใช้วิธีการวางตัวของช่องมองภาพแต่ละภาพที่ซ้อนกันแทน เช่น
แว่นตาข้างซ้ายจะมองภาพผ่านช่องในแนวตั้ง
ส่วนแว่นตาข้างขวาจะมองภาพผ่านช่องในแนวนอน
ทำให้ตาแต่ละข้างมองเห็นภาพไม่เหมือนกัน เมื่อสมองรวมภาพจากตาข้างซ้ายและขวา
จะมองเห็นภาพเป็น 3 มิติ
– การแสดงภาพแบบแอ็กทิฟชัตเตอร์
(active shutter) อาศัยการฉายภาพที่มีความถี่ในการแสดงภาพอย่างน้อย
120 เฮิร์ต
เนื่องจากต้องแสดงภาพสำหรับตาซ้ายและตาขวาสลับกันไปจนครบ 120 ภาพ
ใน 1 วินาที ตาข้างซ้ายและขวาจึงเห็นข้างละ 60 ภาพใน
1 วินาที ซึ่งเป็นความถี่ขั้นต่ำที่ทำให้ไม่รู้สึกว่าภาพสั่น
การฉายภาพลักษณะนี้ต้องใช้แว่นตาแอ็กทิฟชัตเตอร์ช่วยในการมองเห็นภาพ
โดยแว่นตาจะสื่อสารกับเครื่องฉายว่าจะบังตาข้างไหนในขณะฉายภาพ เช่นภาพสำหรับตาซ้าย
เครื่องฉายจะส่งสัญญาณให้แว่นบังตาขวา ดังนั้นแว่นนี้ต้องใช้สัญญาณไฟฟ้าในการทำงาน
ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีนี้ เช่น โทรทัศน์ 3
มิติ
– การแสดงภาพแบบพาราแลกซ์บาร์เรีย
(paralax barrier) จะไม่ใช่แว่นตา
วิธีนี้จะแบ่งภาพที่มีมุมมองต่างกันออกเป็นแท่งแล้วนำไปวางสลับกัน
โดยมีชั้นกรองพิเศษ ทีเรียกว่า พาราแลกซ์บาร์เรีย
ในการแบ่งภาพให้ตาแต่ละข้างที่มองผ่านชั้นกรองนี้เห็นภาพที่แตกต่างกัน แล้วสมองจะรวมภาพจากตาซ้ายและตาขวาที่มีมุมมองต่างกันนี้ให้เป็นภาพเดียวกัน
ทำให้เรามองเห็นเป็นภาพ ๓ มิติ เช่น กล้องดิจิทัล ๓ มิติ
ที่เราสามารถมองเห็นภาพถ่ายบนจอแอลซีดีเป็นภาพ ๓ มิติ
๑.๖ มัลติทัช
รับข้อมูลโดยใช้นิ้วสัมผัสที่จอภาพโดยตรง
เรียกว่า จอสัมผัส (touch screen)
ทำให้การใช้งานมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้โดยตรง
เช่น จอสัมผัสตู้เอทีเอ็ม จอสัมผัสแสดงข้อมูลร้านค้าในห้างสรรพสินค้า
จอสัมผัสเครื่องจีพีเอส จอสัมผัสเครื่องพีดีเอ จอสัมผัสสมาร์ทโฟน
จอสัมผัสเหล่านี้สั่งการโดยใช้สไตลัส (Stylus)
หรือนิ้วสัมผัสบนจอ
การสั่งการที่สัมผัสจอภาพทีละจุด เรียกว่าซิงเกิลทัช (Single touch)
ปัจจุบันสามารถรองรับคำสั่งผ่านหน้าจอสัมผัสได้หลายจุดพร้อมกัน
เรียกว่า มัลติทัช (multi touch) ทำให้มีการปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์
พีดีเอ และสมาร์โฟนแตกต่างออกไป
แทนที่จะให้อุปกรณ์นั้นรับรู้การเลือกได้เพียงจุดเดียวในเวลาหนึ่ง
ทำให้อุปกรณ์รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นจากการเลือกหลายจุดพร้อมกันในเวลาเดียวกัน
การรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากรูปแบบการเคลื่อนไหวของนิ้วมือหลายนิ้วของผู้ใช้สัมผัสไปบนจอภาพโดยตรง
หรือในเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ผู้ใช้สามารถสัมผัสแผงแป้นสัมผัสหรือเรียกว่า
ทัชแพด (touchpad) เพื่อเลือก เลื่อน หรือขยายวัตถุที่แสดงผลอยู่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น